คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์
คาสิโนออนไลน์

Monday, April 29, 2019

เที่ยวชม พระธาตุเรณูนคร จังหวัดนครพนม

 พระธาตุเรณูนคร


เมื่อมาสักการะพระธาตุพนมแล้ว แน่นอนต้องแวะมา พระธาตุเรณูนคร อีกหนึ่งพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ขึ้นชื่อของนครพนม   พระธาตุเรณูนคร ประดิษฐานอยู่วัดพระธาตุเรณู  องค์พระธาตุมีสีชมพูงดงามโดดเด่น  เป็นพระธาตุประจำวันจันทร์เชื่อกันว่าผู้ที่ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ ส่งผลให้มีวรรณะงดงาม ผุดผ่องดังแสงจันทร์ นอกจากนี้ภาย ในโบสถ์ยังประดิษฐานพระองค์แสน  เป็นพระพุทธรูปทองคำศิลปะแบบลาวปางสมาธิ พระคู่บ้านของอำเภอเรณูนคร มีพุทธ ลักษณะสวยงามมาก

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 28, 2019

พิพิธภัณฑ์งานศิลปะ เขาใหญ่อาร์ตมิวเซียม

เขาใหญ่อาร์ตมิวเซียม


เขาใหญ่ อาร์ต มิวเซียม  เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวของคุณพงษ์ชัย จินดาสุข นักธุรกิจผู้เป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ในเครือจินดาสุขกรุ๊ป พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมงานศิลปะที่คุณพงษ์ชัยสะสมไว้ มีทั้งภาพวาดจากฝีมือศิลปินชั้นครูระดับประเทศหลายร้อยภาพ รวมถึงงานประติมากรรมอีกจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น  เขาใหญ่ อาร์ต มิวเซียม  สร้างขึ้นบนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ของตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ไม่ไกลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เท่าใดนัก ภายในพื้นที่ทั้งหมดประกอบด้วยอาคารหอศิลป์ขนาดใหญ่กว่า 1,700 ตารางเมตร และมีสวนประติมากรรมอยู่ด้านหน้า ภายใน  "อาคารหอศิลป์" จะประกอบไปด้วยห้องแสดงภาพและสื่อผสมถึง 3 ห้อง ภายในจัดแสดงงานศิลป์จากศิลปินชั้นครูหลากหลายแนว อาทิเช่น อ.ถวัลย์ ดัชนี, อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อ.ชลูด นิ่มเสมอ, อ.ประเทือง เอมเจริญ, อ.ปรีชา เถาทอง, อ.ช่วง มูลพินิจ, อ.ประหยัด พงษ์ดำ ฯลฯ รวมถึงผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ๆ ด้วย รวมถึงพื้นที่กลางแจ้งที่จัดแสดงงานศิลป์ หากใครชื่นชอบงานศิลปะ มาเที่ยวที่นี่คงจะเดิน ชมกันเพลินเลยทีเดียว
เขาใหญ่อาร์ตมิวเซียม
นอกจากหอศิลป์แล้ว ที่นี่ยังมีบ้านพักบรรยากาศดีในชื่อเรียกเก๋ไก๋ว่า ART SPACE ซึ่งตกแต่งด้วยงานจิตรกรรมและประติมากรรมที่จัด วางได้อย่างลงตัวและไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละหลัง ผลงานทั้งหมดได้รับการคัดสรรและจัดวางโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ศิลปินผู้มีชื่อเสียง โดยคำนึงถึงความผสมผสานกลมกลืนระหว่างผลงานกับพื้นที่แต่ละส่วนภายในบ้าน รวมถึงสภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับผลงานด้วยแนวคิดที่ว่า การพักอาศัยภายในบ้านที่เต็มไปด้วยผลงานศิลปะชั้นยอดเป็นส่วนสร้างเสริมสุนทรียะ เติมเต็มความอิ่มเอิบใจและผ่อนคลายให้ผู้พักอาศัยได้รื่นรมย์กับงานศิลปะและธรรมชาติแวดล้อม  และในบริเวณใกล้เคียงยังมีร้าน ART SHOP สำหรับเลือกซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้านอีกด้วย
รายละเอียด
เขาใหญ่ อาร์ต มิวเซียม บ้านท่าช่าง ซอย 6 หมู่ 16 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
โทรศัพท์  0-4475-6060–6  ศูนย์กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2223-7707, 08-1886-8666, 08-1440-0202
เปิดบริการทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา  10.00 น.-18.00น. วันศุกร์-อาทิตย์  เวลา 9.00 น.- 20.00 น. เข้าชมฟรี
ร้านอาหารเปิดบริการวันศุกร์-อาทิตย์  http://www.khaoyaiartmuseum.com

การเดินทางไปเขาใหญ่อาร์ตมิวเซียม

โดยใช้รถส่วนตัวโดยเข้ามาทางถนนธนะรัชต์ ผ่านร้านครัวเขาใหญ่ ก่อนถึง Palio ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางแยกป้อมตำรวจ สภ.หมูสี พอถึงวงเวียนให้เลี้ยวขวาไปทางวัดท่าช้าง ตรงต่อไปจะเห็นซอย 6 ซ้ายมือ เลี้ยวเข้าไปเพียง ไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงเขาใหญ่อาร์ตมิวเซียม

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Friday, April 26, 2019

เที่ยวFlora Park วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา

Flora Park วังน้ำเขียว



ฟลอร่า พาร์ค (Flora Park) ตั้งอยู่ใน อ.วังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา คือ พื้นที่ของการจัดแสดงพันธุ์ไม้กลางหุบเขาบนเนื้อที่ 69 ไร่  ซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการปลูกพันธุ์ไม้ในสวนตามช่วงเวลาและฤดูกาลให้เราได้เพลิดเพลินเดินเล่นที่สวนฟลอร่า พาร์ค รับโอโซน ณ จุดชมวิว 360 องศา นอกจากนี้ยังมีสถานที่ใกล้เคียงนั่นคือ ในส่วนของศูนย์เรียนรู้การเกษตรฟาร์มฟ้าประทาน มีพื้นที่รวมกว่า39 ไร่ เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับชาววังน้ำเขียว ถือเป็นต้นแบบของแนวทาง ในการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืนต่อไปโดยเปิดให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้สัมผัสวิถีชีวิตชาวเกษตร รวมทั้งศึกษาดูงานถ่ายทอด แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการเกษตรอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโครงการปลูกผักปลอดสารพิษ (Veggie Ozone) แปลงปลูกผัก อินทรีย์ที่เน้น ผักสลัด 6 ชนิด ได้แก่ กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เรดเคอเรล คอส บัตเตอร์เฮด ผักกาดแก้ว และผักอื่นๆ ที่เป็นที่ต้องการของชุมชน โครงการเลี้ยงไก่คุณภาพ (Eggie Ozone )ไข่ไก่ 4 อ. อาหารดี อนามัยดี อารมณ์ดีและอากาศดี
งานดอกไม้ ฟลอร่า พาร์ค (Flora Park) 59 เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 - 31 มีนาคม 2560
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 092 294 1594 089 812 8851 และ www.facebook.com/floraparkWNK
การเดินทางไป Flora Park วังน้ำเขียว
1. รถยนต์ส่วนตัว
จากทางแยกขวามือ ตรงศาลเจ้าพ่อหลวงราช ประมาณ 7 กิโลเมตร เข้าไปทางถนนเส้นเขาแผงม้า ผ่านสวนหน้าวัวคุณสุชาดา และร้านกาแฟ a cup of love จะถึงฟอร่าพาร์ค


บทความและเรื่องราวท่องเที่ยวนครราชสีมา

ฟ้าประทาน โรส พาร์ค
15 จุดต้องแวะเมื่อมาถึงวังน้ำเขียว
สวนภูมิพฤกษา วังน้ำเขียว
6 จุดเช็คอิน เที่ยวหน้าฝน กิน พัก ช๊อป ครบที่วังน้ำเขียว
10 จุดต้องแวะเมื่อมาถึงวังน้ำเขียว
ภูริพิมาน ปากช่อง ห้องพักขนาดใหญ่ มองวิวภูเขา
เที่ยวเขาใหญ่แวะ Toscana valley
ทุ่งทานตะวันไร่มณีศร เขาใหญ่
จากบ้านถึงบ้าน เขาแคบลอดจ์ ปากช่อง
ในฝันวิลล์ ที่พักปากช่อง บรรยากาศชวนฝัน
เพลิดเพลินวันหยุด วันเดียวเที่ยวปากช่อง
ชวนมาพัก Thames Valley Khao Yai รีสอร์สวยสไตล์อังกฤษ
วังน้ำเขียววันเดียว เที่ยวสบายสไตล์ Oneday

ที่พัก

30 ที่พักเขาใหญ่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
ภูริพิมาน ปากช่อง ห้องพักขนาดใหญ่ มองวิวภูเขา
จากบ้านถึงบ้าน เขาแคบลอดจ์ ปากช่อง
ในฝันวิลล์ ที่พักปากช่อง บรรยากาศชวนฝัน
คาเฟ่ ร้านอาหาร
The Birder’s Lodge Café เขาใหญ่
ร้านอาหารครัวต้นไทร วังน้ำเขียว
22°C Cafe ร้านกาแฟสุดเก๋แห่งวังน้ำเขียว
A cup of love ร้านกาแฟสุดเก๋ที่วังน้ำเขียว
โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว นั่งแพจิบกาแฟกลางน้ำ

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 25, 2019

เที่ยวจังหวัดบุรีรัมย์ วนอุทยานเขากระโดง

วนอุทยานเขากระโดง


วนอุทยานเขากระโดง  ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วรอบ บริเวณปกคลุมด้วยป่าไม้ ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าขนาดเล็ก โดยเฉพาะนกนานาชนิด เดิมชื่อเดิม คือ "พนมกระดอง" เป็นภาษาเขมร แปลว่า ภูเขากระดอง (เต่า) เป็นภูเขาที่มีรูปลักษณ์คล้ายกระดองเต่า ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น "กระโดงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจและศึกษาประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยา เพราะเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟที่ยังคงปรากฏร่องรอยปากปล่องให้เห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานกู่เขากระโดง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง และมี “พระสุภัทรบพิตร” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ คู่เมืองบุรีรัมย์บนยอดเขาการขึ้นไปเขากระโดง ทำได้สองวิธี คือ เดินขึ้นบันไดจำนวน 297 ขั้น หรือ ขับรถขึ้นไปถึงยอดเขา
วนอุทยานเขากระโดง
สิ่งที่น่าสนใจในวนอุทยานเขากระโดง


พระสุภัทรบพิตร 
เป็นพระพุทธรูปคู่เมือง ภายในเศียรบรรจุพระธาตุ ประดิษฐานอยู่บนเขากระโดง เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐฉาบปูนขนาดใหญ่ หน้าตัก กว้าง 12 เมตร ฐานยาว 14 เมตร หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2512 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ นายสุรวุฒิ บุญญานุสาสน์ ในขณะนั้น ร่วมกับพ่อค้าประชาชนและผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในความคิดและโครงการต่างๆ ของหลวงพ่อบุญมา ปัญญาปโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดเขากระโดง ได้ร่วมกันจัดสร้างขึ้นบริเวณยอดเขากระโดง เพื่อให้เป็นที่สักการะบูชาของ พุทธศาสนิกชนทั่วไป จากจุดที่ตั้งขององค์พระสามารถมองเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองบุรีรัมย์ได้

ปากปล่องภูเขาไฟเขากระโดง
ปากปล่องภูเขาไฟเขากระโดง มีอายุประมาณ 3 แสนถึง 9 แสนปี สูงจากระดับน้ำทะเล 265 เมตร ซากปากปล่องเป็นรูปพระจันทร์ ครึ่งซีก ยอดเนินเขาเป็นขอบปล่องด้านทิศใต้เรียกว่า เขาใหญ่ ส่วนยอดเนินเป็นขอบปล่องด้านทิศเหนือเรียกว่า เขาน้อย หรือ เขากระโดง ส่วนบริเวณที่เป็นขอบปล่องปะทุคือ บริเวณที่เป็นหุบเขา ปัจจุบันมีสภาพเป็นสระน้ำเป็นซากภูเขาไฟที่ยังคง สภาพดีและ มีอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย มีเส้นทางเดินชมรอบปล่องและมีสะพานแขวนให้ยืนชมจากมุมสูงได้อย่างชัดแจน

สะพานพิสูจน์ศรัทธาสาธุชน (บันไดนาคราช)
สร้างขึ้นเมื่อปี 2512 เพื่อเป็นทางเดินขึ้นไปสักการะบูชาพระสุภัทรบพิตร ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขากระโดง จำนวน 297 ขั้น ชมการละเล่น พื้นบ้านในงานประเพณีขึ้นเขากระโดง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 และร่วมทำบูญงานประกวดกวน ข้าวทิพย์– ตักบาตรรเทโวโรหณะ ในช่วงก่อนวันออกพรรษาและวันออกพรรษาของทุกปี

การเดินทางไปวนอุทยานเขากระโดง

- เส้นทางจากจังหวัดบุรีรัมย์ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 (บุรีรัมย์-ประโคนชัย) ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าวนอุทยานฯ
ข เส้นทางจากจังหวัดนครราชสีมา ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 (นครราชสีมา-สุรินทร์) ระยะทางประมาณ 130 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าวนอุทยานฯ
- เส้นทางจากจังหวัดสุรินทร์ ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 ระยะทาง 50 กิโลเมตร พบสี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายไปอำเภอประโคนชัย ประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าวนอุทยานฯ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

แหล่งท่องเที่ยงเชิงประวัติศาสตร์ ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์

ปราสาทเมืองต่ำ


ปราสาทเมืองต่ำ ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านโคกเมือง ตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปทาง ทิศใต้เป็นระยะทาง ประมาณ 64 กิโลเมตร สร้างตามคติความเชื่อทางศาสนาฮินดูสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16-17  เพื่อถวายพระศิวะมีลักษณะเป็นศาสนสถาน ประจำเมืองหรือประจำชุมชน  ปราสาทหินเมืองต่ำมีรูปแบบที่แตกต่างจากปราสาทแห่งอื่นๆ ที่จะมีปรางค์องค์ใหญ่ตรงกลางและล้อมรอบด้วยปรางค์ขนาด เล็กกว่าทั้ง 4 มุม ลักษณะเป็นกลุ่มปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนศิลาแลง อันเดียวกัน เรียงเป็น 2 แถวตามแนวทิศเหนือใต้ แถวหน้า 3 องค์ องค์กลางมี ขนาดใหญ่กว่าปรางค์อื่น ส่วนแถวหลังมีปรางค์อิฐจำนวน 2 องค์ วางตำแหน่งให้อยู่ระหว่างช่อง ของปรางค์ 3 องค์ ในแถวแรก ทำให้สามารถมองเห็น ปรางค์ทั้ง 5 องค์ พร้อมกันโดยไม่มี องค์หนึ่งมาบดบัง คำว่า เมืองต่ำไม่ใช่ชื่อดั้งเดิม แต่เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกโบราณ สถานแห่งนี้ เพราะปราสาทแห่งนี้ ตั้งอยู่บน พื้นราบ ส่วนปราสาทพนมรุ้งตั้งอยู่บนเชิงเขา ซึ่งทั้งปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้งอยู่ไม่ห่างกันมาก คือห่างกันเพียง 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ วัสดุส่วนหนึ่งจากโบราณสถาน และโบราณวัตถุของปราสาทเมืองต่ำพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงนำมาเป็นส่วนประกอบ ในการทำพระเครื่อง ที่เรียกว่า "พระสมเด็จจิตรลดา" อีกด้วย 

องค์ประกอบภายในปราสาทเมืองต่ำ
สระน้ำระเบียงคด
สระน้ำ 4 สระ ล้อมรอบระเบียงคดมีลักษณะเป็นรูปตัวแอล ก่อสร้างด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปถึงก้นสระ ขอบสระด้านบนแกะสลัก ด้วยหินทราย เป็นลำตัวนาคที่มุมสระสลักเป็นนาค 5 เศียร สระน้ำทั้ง 4 สระนี้ ใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สระน้ำที่ล้อมรอบ ปราสาทประธานได้แสดงถึง มหาสมุทรทั้ง 4 ที่ ล้อมรอบเขาพระสุเมรุตามคติพราหมณ์ดังได้กล่าวมาแล้ว ลักษณะเป็นสระน้ำหักมุมฉาก อยู่ทั้ง 4 ทิศ สันนิษฐานว่าใช้กักเก็บน้ำในการ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ความโดดเด่นที่สำคัญอีกอย่างคือ นาคที่ขอบสระทั้ง 4 เป็นนาคแบบเศียรโลนไม่มีแผงรัศมี ซึ่งเป็นศิลปะแบบบาปวนอย่างแท้จริง นาคนั้นไม่มีหาง ซึ่งปรายสุดของนาคจะมีเศียรจลดหัวท้าย
ภาพสลักดอกบัวแปดกลีบ
บริเวณพื้นกลางห้องภายในซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก มีการสลักเป็นลายเส้นรูปดอกบัว 8 กลับ ซึ่งอาจหมายถึงจุดกำหนดในการ ตั้งจิตอธิษฐานบูชา เทพเจ้า หรือหมายถึงการจำลองแผนผังของจักรวาล อันประกอบด้วยทิศสำคัญทั้ง 8 ทิศ


ระเบียงคดและซุ้มประตู ระเบียงคด เป็นแนวกำแพงชั้นในของโบราณสถาน ก่อสร้างด้วยหินทรายเชื่อมต่อกันโดยรอบ ล้อมรอบ กลุ่มปราสาทอิฐ ภายในห้องกว้าง ประมาณ 2 เมตร พื้นปูด้วยศิลลาแลง ที่บริเวณกึ่งกลางของระเบียบคดทุกด้านก่อสร้างเป็นซุ้ม ประตูในแนวเดียวกันกับซุ้มประตูของกำแพงแก้ว
ปราสาทแถวหน้าองค์ทิศเหนือ ปราสาทแถวหน้าองค์ทิศเหนือ ก่อสร้างด้วยอิฐ เดิมมีลวดลายปูนปั้นประดับ ทับหลังทำจากหินทราย สลักภาพพระศิวะคู่กับ พระอุมาประทับนั่งเหนือโคนนทิ เรียกภาพตอนนี้ว่า "อุมามเหศวร" 
ปราสาทแถวหลังองค์ทิศเหนือ
ปราสาทแถวหลังองค์ทิศเหนือ ก่อสร้างด้วยอิฐ เดิมเคยมีลวดลายปูนปั้นประดับ ทับหลังทำจากหินทรายสลักภาพพระกฤษณะยกภูเขา โควรรธนะ เพื่อปกป้อง คนเลี้ยงวัวและฝูงวัวให้พ้นภัยจากพายุฝน
ปราสาทแถวหลังองค์ทิศใต้
ปราสาทแถวหลังองค์ทิศใต้ ก่อสร้างด้วยอิฐ เดิมมีลวดลายปูนปั้นประดับ ทับหลังทำจากหินทรายสลักภาพเทพเจ้าประทับนั่งเหนือหงส์ สันนิษฐานว่าเทพเจ้านี้ หมายถึงพระวรุณเทพผู้รักษาทิศตะวันตก
ปรางค์ประธาน
ปรางค์ประธาน ตั้งอยู่ตรงกลางเยื้องมาข้างหน้าเล็กน้อย ระหว่างปรางค์บริวารทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปรางค์บริวารอีก 4 องค์ ทับหลังเป็นหินทราย ปัจจุบันปรางค์ประธานได้ถล่มลงมาแล้วคงเหลือเฉพาะฐานที่ก่อด้วยศิลาแลง ลักษณะอาคารใช้อิฐเป็นวัสดุ ก่อสร้างหลัก พบเพียงฐานเป็นศิลาแลง และหน้าบันซึ่งสลักจากหินทราย เป็นภาพพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ศิลปะปาปวน สันนิษฐานว่า ตัวปราสาทเป็นปราสาทหินทราย นอกจากนี้ยังได้ พบหลักฐานลวดลายปูนปั้นประดับ ซึ่งสร้างถวายพระศิวะเทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะได้มีการขุดพบศิวลึงค์ซึ่งเป็นรูปเคารพแทน องค์พระศิวะ และพบทับหลังสลักพระศิวะ ในปาง "กัลยาณะสุนทะระมูรติ" ส่วนบนของทับหลังจำหลักภาพฤๅษีนั่งประนมมือเป็นแถว จำนวน 7 ตน
กลุ่มปราสาทอิฐ
เป็นอาคารสำคัญที่สุด ตั้งอยู่ตรงกลางของตัวปราสาทเมืองต่ำ ใช้เป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพและประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ประกอบ ด้วยปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกันองค์ปราสาทก่อด้วยอิฐเรียงเป็น 2 แถว แถวหน้า 3 องค์ และแถวหลัง 2 องค์ กลุ่มปราสาทอิฐ 5 องค์นี้แสดงสัญลักษณ์แทน เขาพระสุเมรุศูนย์กลางจักรวาลปราสาทประธาน ส่วนตรงกลางคือส่วนปรางค์ประธาน ซึ่งได้ปรักหักพังเหลือเพียงฐาน
บรรณาลัย
บรรณาลัย 2 หลัง ก่อสร้างด้วยอิฐ อยู่บริเวณด้านหน้าของกลุ่มปราสาทอิฐ ข้างละ 1 หลัง ลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขและประตูทางเข้า ด้านทิศตะวันตกด้านเดียว ส่วนผนังหลังคาพังลงหมดเหลือเพียงกรอบประตูและทับหลัง จากรูปแบบของอาคาร เป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์ ตำราทางศาสนา หรืออาจเป็นสถานที่ประดิษฐานรูปเคารพ
ปราสาทประกอบ
ปราสาทประกอบอีก 4 หลังเป็นปราสาทอิฐ ปัจจุบันได้รับการบูรณะในสภาพสมบูรณ์ และมีหน้าบันด้านหน้าอยู่ครบ โดยปราสาทแถว หลังองค์ทิศใต้ มีหน้าบันเป็นภาพพระวรุณเทพประทับเหนือหงษ์ ปราสาทแถวหลังองค์ทิศเหนือเป็น ภาพพระกฤษณะ (ร่างอวตารขอ พระวิษณุ) ยกภูเขาโควรรธนะ ปราสาทแถวหน้าองค์ทิศใต้เป็นภาพพระอินทร์ปางมหาราชลีลาสนะ (นั่งชันเข่า) ประทับเหนือ หน้ากาลส่วนปราสาทแถวหน้าองค์ทิศเหนือ เป็นภาพพระศิวะคู่พระอุมาประทับบนโคนนทิในปางอุมามเหศวร 
ปราสาทเมืองต่ำเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา  8.30 น. – 16.30 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท 
การเดินทางไปปราสาทเมืองต่ำ
ใช้เส้นทางบุรีรัมย์-นางรอง-พนมรุ้ง เข้าไปปราสาทเมืองต่ำระยะทางแยกเข้าไปประมาณ 83 กิโลเมตร หรือจะไปเส้นทางบุรีรัมย์-ประโคนชัย เข้าประสาทเมืองต่ำ ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งคือ สายประโคนชัย-บ้านกรวด ซึ่งเป็นเส้นแยก สายตะโก-พนมรุ้ง-ละหานทรายก็ได้

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Wednesday, April 24, 2019

เที่ยวสายบุญ วัดโพธาราม จังหวัดบึงกาฬ

วัดโพธาราม 


ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ  5 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดบึงกาฬและชาวจังหวัดใกล้เคียงรวมไปถึงในสปป.ลาว ที่อยู่ในลุ่มน้ำโขงแถบนี้  เมื่อเข้ามายังตัววัดจะพบกับอุโบสถเมื่อมองเข้าไปด้านในก็จะเห็นหลวงพ่อพระใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้านในตัวอุโบสถ  หลวงพ่อพระใหญ่ เป็นพระพุทธรูปรางมารวิชัย ฉาบปูน หน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบ (5 ฟตุ 4 นิ้ว) เดิมเป็นพระพุทธรูปทองสำริดที่มีความงดงาม แต่ต่อมามีการพอกปูนฉาบไว้ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการอำพรางจากเหตุการณ์สงคราม โดยพระพุทธรูปที่เห็นในปัจจุบัน ประดิษฐาน ณ ที่เดิมนับตั้งแต่ค้นพบไม่ทำการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด มีเพียงการบูรณะแท่นประดิษฐานให้คงทนแข็งแรงมากขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาขอพร ก็มักจะได้สมหวังดังใจหมาย จนมีคนนำสีทองมาทาองค์พระให้สวยงามอย่างที่เห็นกัน และมักจุดบั้งไฟถวายกันเป็นประจำ แต่การกราบไหว้ในพระอุโบสถ สามารถเข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ส่วนสุภาพสตรีจะสามารถกราบไหว้ได้ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ หรือองค์จำลองที่ประดิษฐานอยู่ข้างพระอุโบสถ วัดโพธารามแห่งนี้มีบรรยากาศที่ร่มรื่น มีหลักธรรมคำสอนติดตามต้นไม้ไว้ให้อ่านเป็นข้อคิดเตือนใจ และพื้นที่วัดก็อยู่ติดริมแม่น้ำโขงไม่มีกำแพงวัดกั้นระหว่างวัดและแม่น้ำโขง จึงทำให้ผู้คนที่มาวัดได้เดินเที่ยวชมและยังได้รับลมเย็นๆที่พัดขึ้นมาจากฝั่งโขงยิ่งทำให้จิตใจสงบร่มเย็น

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 21, 2019

เที่ยวชม สะพานไม้แกดำ จังหวัดมหาสารคาม

สะพานไม้แกดำ มหาสารคาม


สะพานไม้แกดำ อีกหนึ่งสะพานไม้เก่าแก่ในบรรยากาศแบบท้องทุ่ง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ของจังหวัดมหาสารคามที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ และเที่ยวชม เพื่อสัมผัสของกลิ่นไอแห่งความเป็นชาวบ้านกับสะพานที่ทอดตัวยาวท่ามกลางหนองน้ำแกดำไกลสุดตากว่า  1 กิโลเมตร ท่ามกลางบึงบัวและพืชน้ำสีเขียวและความหลากทางธรรมชาติ  ถือว่าเป็นสะพานสุด unseen  อีกแห่งหนึ่ง ที่ควรค่าแห่งการเดินทางมาเช็คอิน

สะพานไม้แกดำ  ตั้งอยู่ที่วัดดาวดึง อำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม เป็นสะพานไม้เก่า อายุราวกว่า 50 ปี  ที่ชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางข้ามอ่างเก็บน้ำหนองแกดำ โดยเชื่อมระหว่างบ้านหัวขัวกับหมู่บ้านแกดำ แต่ก่อนสะพานไม้นี่ทรุดโทรมาก ชาวอำเภอแกดำพร้อมด้วยกำลังทหาร ช่วยกันซ่อมแซมสะพานไม้ โดยหวังให้ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์และอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา รวมถึงพัฒนาสะพานไม้เก่าแก่แห่งนี้ ให้เป็นสถานที่ถ่ายภาพและเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดมหาสารคาม

สำหรับการเดินทางไปสะพานไม้แกดำ เราเริ่มต้นจากกรุงเทพโดยตั้งใน google map ให้นำทางโดยพิมพ์ว่าวัดดาวดึง หนองแกดำ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็มาถึงศาลาของวัดดาวดึง  เส้นทางก่อนถึงจะเข้าไปในหมู่บ้านหากหาไม่เจอก็ถามชาวบ้านแถวนั้นก็ได้ค่ะ เรามาถึงกันแต่เช้าตรู่เพื่อตั้งใจมาเก็บภาพของพระอาทิตย์ขึ้นซึ่งพระอาทิตย์จะขึ้นฝั่งตรงข้ามกับวัด  เมื่อมาถึงก็จะเห็นป้ายและศาลเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ข้างสะพาน ถึงแม้ที่เดินทางฟ้าจะครึ้มไปซักนิดแต่ยังถือว่าโซคดีที่พอได้เห็นพระอาทิตย์บ้าง

สะพานไม้ที่ทอดยาวไปยังอ่างเก็บน้ำหนองแกดำซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวตามธรรมชาติของอำเภอแกดำ มีเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ครอบคลุม 3 หมู่บ้าน ได้แก่ บ้านแกดำ บ้านหัวขัว บ้านโพธิ์ศรี  เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อชาวอำเภอแกดำ เพราะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสัตว์น้ำ พื้ชน้ำ เช่น บัวแดง แหน สาหร่ายหางกระรอก เป็นต้น นอกจากนี้ในหน้าหนาวยังสามารถพบเห็นนกเป็ดน้ำบินหนีหนาวมาจากไซบีเรีย มาอาศัยในบริเวณหนองแกดำด้วย

อ่างเก็บน้ำหนองแกดำ ยังมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวแกดำโดยได้ใช้นำน้ำมาอุปโภค บริโภค ปัจจุบันหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีโครงการพัฒนาปรับปรุงหนองแกดำให้มีภูมิทัศน์ที่สวยงามเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ และยังใช้หนองแกดำในการจัดกิจกรรมงานประเพณีต่าง ๆ ของชุมชน เช่น ลอยกระทง บุญบั้งไฟ  ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะมีการสร้างถนนราดยางข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เราก็ยังเห็นชาวบ้านใช้มาใช้สะพานนี้ข้ามไปมาอยู่เรื่อยๆ

จากต้นสะพานฝั่งวัดดาวดึงพวกเราก็ค่อยๆเดินและหยุดชมความงามของสะพานรวมถึงวิวสีเขียวของพืขน้ำ ถึงแม้สะพานไม้เก่าแก่ได้รับการบูรณะใหม่ดูแข็งแรงขึ้น แต่ในความเป็นไม้เก่าที่ผสมอยู่ด้วยเวลาเดินก็ต้องระวังกันซักนิดค่ะ

ลักษณะของสะพานคือ ใช้ไม้ปักลงไปกลางหนองน้ำและตอกด้วยตะปูเรียงกัน  สะพานจะไม่ได้ยาวเป็นเส้นตรงแต่เพียงอย่างเดียวแต่จะมีความโค้งในแต่ละช่วงดูสวยงามและอาร์ตไปอีกแบบ หากใครเคยไปเที่ยวสะพานซูตองเป้ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ลักษณะจะคล้ายกันเพียงแต่สะพานไม้แกดำอยู่ท่ามกลางหนองน้ำและบึงบัว ส่วนสะพานซูตองเป้อยู่ท่ามกลางแปลงนาข้าว

หันหลังมองกลับไปก็จะเห็นวิวของวัดดาวดึง ซึ่งเป็นฝั่งที่พวกเราเดินมา หามาช่วงเย็นฝั่งนั้นก็คงเป็นฝั่งที่พระอาทิตย์ตก

สะพานไม้เก่าแก่มีมนต์ขลัง ความผุพังของไม้บ่งบอกถึงหน้าที่ของมันว่าคงผ่านร้อน หนาวและฝน และอยู่คู่กับชาวบ้านมาช้านาน โดยปกติเราอาจจะเห็นสะพานที่สร้างด้วยไม้แบบนี้ข้ามหนองบึงมาเยอะ แต่ไม่ยาวมากขนาดนี้
เดินไปจนสุดสะพานก็ได้เวลาเดินกลับถือว่าเป็นการออกกำลังกายเบาๆในยามเช้าและได้สูดอกาศบริสุทธิ์ชมวิวอันแสนบริสุทธิ์ไปด้วย

ด้านข้างของสะพานมีรูปปั้นกบขนาดใหญ่ ถามชาวบ้านว่ากบนั่นมีความสำคัญยังไงถึงขนาดปั้นกันใหญ่ขนาดนี้ ได้คำตอบว่า หมู่บ้านแกดำเป็นหมู่บ้านที่กบอาศัยอยู่เยอะมาก ชาวบ้านที่นี่ก็นิยมบริโภคกบและลูกอ๊อดด้วย

สะพานแกดำ สะพานไม้แห่งชีวิต อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใหม่แห่งจังหวัดมหาสารคาม ที่อยากให้ทุกคนแวะมาทำความรู้จัก

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดมุกดาหาร

หอแก้วมุกดาหาร


หอแก้วมุกดาหาร เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษกเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดมุกดาหาร สำหรับสถานที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นหอคอยรูปทรงกระบอก มีทั้งหมด 7 ชั้นตั้งโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองก็ว่าได้ ก่อตั้งขึ้น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ห้วทรงครองราชย์ครบ 50 ปี หอแก้วมุกดาหารมีลักษณะ เป็นหอคอยรูปทรงกระบอก มีความสูง 65.50 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางตัวแกนหอคอย 6 เมตร ส่วนฐานมีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรงเก้าเหลี่ยม แทนความหมายถึงรัชกาลที่ 9  ประกอบด้วย
หอแก้วมุกดาหาร
หอชมวิว จะอยู่ด้านล่างถัดจากยอดโดม เป็นพื้นที่รูปวงกลม ผนังโดยรอบเป็นกระจกใส ภายในติดเครื่องปรับอากาศ เป็นจุด ชมทิวทัศน์ซึ่งอยู่สูงจากพื้น 50 เมตรมองเห็นภูมิทัศน์ได้รอบตัวเมือง ทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากอีกด้วย
แกนหอคอย สูง 29.6 เมตร มีบันไดทั้งสิ้น 321 ขั้น กว้างขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เมตร จะมีช่องลิฟต์และบันไดเวียนสำหรับ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขึ้นไปยัง หอชมวิว โดยมีชานพักเป็นช่วง ๆ
ส่วนฐาน หอแก้วมุกดาหาร มีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ทรง 9 เหลี่ยม ชั้นแรก  จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต ชาวมุกดาหาร  ชั้น 2  จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติเมืองมุกดาหาร วัตถุโบราณ ภาพถ่ายเก่า ตลอดจนเครื่องแต่งกายชาวไทยพื้นเมือง 8 เผ่า
ความพิเศษอยู่ที่ชั้น 6 จะมีกล้องส่องทางไกลเพื่อชมวิวสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบอย่างชัดเจน บนจุดสูงสุด เป็นที่ ตั้งของ "ลูกแก้วมุกดาหาร" ลักษณะกลมสีขาวหมอกมัวจากประเทศเยอรมนี มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการคือ ลิฟต์

หอแก้วมุกดาหารเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น.ค่าข้าชมคนละ 20 บาท

ประวัติหอแก้วมุกดาหาร

หอแก้วมุกดาหาร มีชื่อเต็มว่า "หอแก้วมุกดาหารเฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก" จัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชในมหามงคลวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่เศษ ซึ่งได้มาจากการบริจาคของ นายธีระชัย ฐานิตสรณ์บุตรชายของนายย่ำเซ็ง แซ่ลิ้ม คหบดีแห่งเมืองมุกดาหารทั้งนี้ หอแก้วมุกดาหาร ได้มีการทำพิธีวางศิลาฤกษ์พร้อมกับพิธีเททองหล่อพระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหาร& พระพุทธรูปประจำหอคอย เมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 ใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ 1 ปี และเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เป็นต้นมา โดยหอแก้วมุกดาหาร เป็นหอคอยคอนกรีตที่มีความสูงทั้งสิ้น 65.50 เมตร หรือเทียบเท่ากับตึกสูง 22 ชั้น ภายในแบ่งพื้นที่ออกเป็น 12 ชั้นมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้ส่วนบนสุดของ หอแก้วมุกดาหาร หรือ ยอดโดมลักษณะอาคารหากมองจากภายนอกจะเป็นเหมือนลูกแก้วขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 เมตร สีหมอกมัว ตรงกับ ลักษณะของแก้วมุกดาหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในนพรัตน์เก้าประการในตำนานของไทย ภายในเป็นห้องโถงผนังกระจกใส พื้นที่กลางโถง ประดิษฐาน "พระพุทธนวมิ่งมงคลมุกดาหาร" พระพุทธรูปเนื้อเงินแท้บริสุทธิ์ ปางมารวิชัย ที่จัดสร้างขึ้นในโอกาสเดียว กันกับ การสร้าง


การเดินทางไปหอแก้วมุกดาหาร

หอแก้วมุกดาหารตั้งอยู่ ริมถนนสายมุกดาหาร - ดอนตาล ห่างจากตัวเมืองมุกดาหาร ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Saturday, April 20, 2019

เที่ยวชมโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ จังหวัดยโสธร

โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้


โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ อยู่ที่บ้านหนองซ่งแย้ หมู่ 2 ตำบลคำเตย อำเภอไทยเจริญ จังหวัดยโสธร  เป็นโบสถ์ไม้ ของคริสต์ศาสนาที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและมีอายุถึง 100 ปี โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ มีชื่อเต็มๆ ว่า  “วัดอัครเทวดามีคาแอล”  ที่มีโบสถ์ไม้หลัง ใหญ่ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่า ซึ่งทั้งหมดทำมาจากไม้เนื้อแข็ง ซึ่งชาวบ้านพากันรวบรวมไม้และลงมือก่อสร้างด้วยกัน โดยลงมือ สร้างปี ค.ศ. 1947 ตัวโบสถ์รูปทรงที่สร้างขึ้นมีลักษณะแบบศิลปะไทย กว้าง 16 เมตร ยาว 57 เมตร จัดเป็นโบสถ์ ไม้ที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย  โดยใช้แผ่นไม้เป็นแป้นมุง หลังคา 80,000 แผ่น ใช้เสาขนาดต่างๆกันถึง 360 ต้น ส่วนใหญ่เป็นเสาไม้เต็งเสาในแถว กลางมีขนาดใหญ่ยาวที่สุดมี 260 ต้น สูงจากพื้นดินกว่า 10 เมตร พื้นแผ่นกระดานเป็นไม้แดงและไม้ตะเคียนขนาดใหญ่ ม้านั่งไม้จุคน ได้กว่าพันคน ระฆังโบสถ์มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบ 2 ฟุต อยู่ในหอระฆังสูงที่สร้างแบบหอระฆังตามวัดไทยทั่วไป แต่แปลกตรงที่แยก ต่างหากจากโบสถ์  จากพลังแห่งศรัทธาอันแรงกล้าของคริสต์ชน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างโบสถ์ไม้ขนาดใหญ่ที่สุดนั้น ในปัจจุบัน โบสถ์แห่งนี้สามารถบรรจุคนได้มากกว่า 500 คน โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ดูเรียบง่ายแต่มีความสงบและงดงาม


ภายในบริเวณวัด ยังมีเรือนไทยอยู่ข้างๆโบสถ์มีความสวยงดงานในปฏิมากรรมแบบไทยเราและล้วนสร้างจากไม้ทั้งหมด และตกแต่ง ต้นไม้สวยงาม ร่มรื่น และยังมีต้นไม้พูดได้ไว้เตือนสติสอนใจหากใครได้มาชมโบสถ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดที่นี่ แล้วละก็จะได้สัมผัสถึงศรัทธา อันแรงกล้าของ พระผู้เป็นเจ้าและชาวบ้านซ่งแย้ ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างโบสถ์คริสต์ไม้หลังใหญ่ที่สุด หลังนี้ขึ้นนับแต่อดีตกาล มากว่า 100 ปีเลยทีเดียว และถือได้ว่าเป็นมรดกสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ และถือเป็นศาสนาสถานที่มีเอกลักษณ์ และมีความสำคัญ ถือเป็นสมบัติอันทรงคุณค่า  ที่นี่จะมีจัดกิจกรรมงานพิธีสมรสหมู่ตามแบบคาทอลิก ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ (วันวาเลนไทน์) ของทุกๆปีด้วย โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความสวยงามแปลกตาของโบสถ์แห่งนี้ ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด 


ประวัติความเป็นมาโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้

เริ่มจากเมื่อปี พ.ศ. 2451หมู่บ้านหนองซ่งแย้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางดงทึบ มีชาวบ้าน 5 ครอบครัวได้อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ ต่อมาได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นครอบครัวผีปอบและถูกรุมทำร้ายและถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ทั้ง 5 ครอบครัวเดือดร้อนอับจนหนทาง จึงเดินทางไปหาบาทหลวงฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า เดชาแนลและ ออมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ตำบลเชียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ให้มา ช่วยขับไล่ผีปอบที่สิงอยู่กับตนและครอบครัว จนเหตุการณ์สงบลง ทั้ง 5 ครอบครัวจึงเข้ารีตเป็นคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิค  และในต่อมาหมู่บ้านแห่งนี้จึงกลายเป็นหมู่บ้านประชาคมชาวคริสต์ในปี พ.ศ. 2452  บาทหลวงทั้ง 2   จึงได้สร้างวัดหนองซ่งแย้ขึ้นมา โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการในภาษาลาตินว่า “วัดอัครเทวดามิคาแอล”  ซึ่งเป็นชื่อของนักบุญคนสำคัญ โดยมีบาทหลวงเดชาแนลเป็น อธิการโบสถ์คนแรก
การเดินทางโบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้
จากตัวจังหวัดยโสธใช้ทางหลวงหมายเลข 2169 อยู่เลย อำเเภอกุดชุม ซึ่งเป็นแหล่งขายเนื้อวัวและลูกชิ้นที่มีชื่อเสียง ไปประมาณ 7-8 กม. จะเห็นป้ายทางซ้ายมือ และซุ้มประตูทางเข้าอยู่ริมถนน เลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ 600เมตร ก็จะถึงโบสถ์คริสต์แห่งนี้

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Friday, April 19, 2019

เที่ยววัดวัดมหาธาตุ พระธาตุอานนท์ จังหวัดยโสธร

วัดมหาธาตุ พระธาตุอานนท์



วัดมหาธาตุ ถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองยโสธรมาตั้งแต่แรกสร้างเมือง ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง โบราณสถานที่สำคัญในวัด คือ พระพุทธบุษยรัตน์ หรือพระแก้วหยดน้ำค้าง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธร ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก 
วัดมหาธาตุ  ยโสธร
พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์  หรือ  พระแก้วหยดน้ำค้าง หรือ พระแก้วขาว
 เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างจากเนื้อแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.9 นิ้ว ศิลปะเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ยโสธร ในจารึกประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 80 เมื่อ พ.ศ.2440 (ร.ศ.115) กล่าวว่า ท้าวพญาเมืองจำปาศักดิ์ได้ถวายพระแก้วขาว แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย จึงโปรดให้อัญเชิญลง มากรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.2355 ต่อมารัชกาลที่ 3 พระราชทานให้ ชาวเมืองยโสธร

พระธาตุอานนท์
พระธาตุเก่าแก่ที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุง ศรีอยุธยาถึง ต้นรัตนโกสินทร์  เจดีย์มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ภายในบรรจุอัฐิของพระอานนท์ ส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวด้านละ 8 เมตร ก่อด้วยอิฐถือปูน มีความสูง 25 เมตร 30 เซนติเมตร เบื้องบนสุดเป็นยอดฉัตร และมีธาตุเล็ก อีกองค์อยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าพระยาวิชัยราชขัตติยวงศา (อดีตเจ้าเมืองสิงห์ท่า)

หอไตร
อยู่ในบริเวณวัดมหาธาตุ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2373 โดยพระครูหลักคำ (กุคำ)เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุรูปที่ 3 ตัวอาคารหอไตร สร้างด้วยไม้ตั้งอยู่กลางสระน้ำ เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลาน พร้อมพระไตรปิฏก และตำราต่างๆซึ่งพระครูหลักคำเป็นผู้นำ มาจากเมือง เวียงจันทน์ซุ้มประตูและบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม การตกแต่งฝาผนังมีลวดลาย ซึ่งเป็นลักษณะ ผสมแบบภาคกลางสันนิษฐานว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 18, 2019

เที่ยวชมประเภนีอันงดงามของจังหวัดเลยประเพณีแห่ผีตาโขน

ประเพณีแห่ผีตาโขน




ประเพณีแห่ผีตาโขน อีกหนึ่งประเพณีที่มีชื่อเสียงและขึ้นชื่อของจังหวัดเลย เป็นส่วนหนึ่งในงานบุญประเพณีใหญ่หรือที่เรียกว่า งานบุญหลวง ซึ่งเป็นการละเล่นที่ถือเป็นประเพณีประจำจังหวัดทุกปี โดยมีกระบวนแห่ผีตาโขนโดยแต่งกายคล้ายผีและปีศาจใส่หน้ากากขนาดใหญ่ที่เป็นเอกลักษณ์มีลวดลายที่งดงามแตกต่างกันไป แสดงการละเล่นเต้นรำกันอย่างสนุกสนานในขบวนแห่งที่แห่ยาวไปตามท้องถนน

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Wednesday, April 17, 2019

แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง จังหวัดเลย

อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง


อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง หรือเรียกอีกชื่อว่า อ่างเก็บน้ำหมาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งใน ที่บรรยากาศเป็นธรรมชาติล้อมรอบด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของป่าไผ่ และภูเขาที่โอบล้อม กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้เวลาในวันพักผ่อนที่นี่ก็คือ การล่องแพพักผ่อน พร้อมทานอาหารท่ามกลางวิวทิวทัศน์ และบรรยากาศที่สวยงาม ร่มรื่น และเย็นสบายจากลมที่พัดมาในอ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง

ขอบคุณแหล่งที่มา  https://www.paiduaykan.com

Tuesday, April 16, 2019

เที่ยววัดพระบรมธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน

วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง



วัดพระบรมธาตุแช่แห้ง  ตั้งอยู่กิ่งอำเภอภูเพียง  ห่างจากตัวเมืองไปราว 2กม.   พระบรมธาตุแช่แห้งปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองน่าน มีอายุกว่า 600 ปี  สิ่งที่โดดเด่นคือ  เจดีย์วัดพระธาตุแช่แห้ง มีสีเหลืองอร่ามเนื่องจากบุด้วยแผ่นทองเหลือง งดงามตามสไตล์ล้านนาไทย  ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  ชาวเมืองล้านนามีความเชื่อกันว่าการ ได้เดินทางไปสักการบูชากราบไหว้นมัสการองค์พระธาตุแซ่แห้งหรือชาวล้านนาจะเรียกกันว่า การชูธาตุ แล้วนั้นจะทำได้รับ อานิสงค์อย่างแรงกล้า ทำให้ชีวิตอยู่ดี มีสุข ปราศจากโรคภัยต่างๆ มาเบียดเบียน หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า

ขอบคุณแหล่งที่มา https:///travel

Monday, April 15, 2019

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง



อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ที่อำเภอภูกระดึง เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย ภูกระดึงประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปีบนยอดภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวปรารถนาที่หวังจะเป็นผู้พิชิตยอดภูกระดึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต
ช่วงเวลาท่องเที่ยวที่เหมาะสม ฤดูฝนและฤดูหนาว




ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 14, 2019

เที่ยววัดปัญญานันทาราม จังหวัดประทุมธานี

วัดปัญญานันทาราม


วัดปัญญานันทาราม ตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัด ปทุมธานี เป็นและเป็นที่รู้จักว่าเป็นวัดที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ เป็นผู้ก่อตั้งและสร้างขึ้นโดยมุ่งหวังให้เป็นมรดธรรมและสถานที่ปฏิบัติธรรม สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่น คือ เจดีย์พุทธคยาจำลองถอดแบบมาจากประเทศอินเดีย และอีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญ คือ ภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติ หนึ่งเดียวในโลกที่จัดแสดงอยู่ด้านล่างเจดีย์พุทธคยา เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูป โดยแต่ละภาพจะมีความหมายแฝงไปด้วยคติธรรมสอนใจในเรื่องของอริยสัจ4 ที่เปิดให้เข้าชมฟรี หากใครที่มีจิตศรัทธาก็สามารถหยอดตู้ทำบุญได้

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com

Saturday, April 13, 2019

เที่ยววัดพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร

วัดพระธาตุเชิงชุม


ตั้งอยู่ถนนเจริญเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ในวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร  สร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานชัด แต่นับเป็น ปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองสกลนครมาแต่โบราณ ภายในวิหารใกล้พระธาตุเชิงชุม เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อองค์แสนอันศักดิ์สิทธิ์ เป็น ที่เคารพนับถือ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในจังหวัดสกลนคร   ยอดฉัตรเหนือองค์พระธาตุทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ หนัก 247 บาท ภายในมีรอยพระพุทธบาท 4 พระองค์ นับตั้งแต่พระกกุสันทะ พระโกนาคม พระกัสสะปะ และพระโคดม  วัดพระธาตุเชิงชุม  นับเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ดังคำกล่าวที่ว่า “จะมีครั้งไหนที่ได้อานิสงส์มากไปกว่าการได้มาบูชา พระธาตุที่สร้าง ครอบรอยพระบาทแห่งพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์” เชื่อกันว่าอานิสงส์ในการนมัสการพระธาตุเชิงชุมนั้นจะก่อให้เกิดความ เป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ตนเองและครอบครัวให้มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปราศจากอันตราย   รวมไปถึงการนมัสการหลวงพ่อ พระองค์แสน ที่เชื่อกันว่าให้พรในด้านโชคลาภ ให้มีเงินทองนับหมื่นนับแสน มีความมั่งมีศรีสุขในชีวิต ในทุกวันจะมีประชาชนมากราบ ไหว้พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระแสนเป็นจำนวนมากทีเดียว  ทุกวันพระในตอนค่ำจะมีประชาชนไปบูชากราบไหว้พระธาตุ และหลวงพ่อองค์แสนเป็นจำนวนมาก งานประจำปีของพระธาตุเชิงชุมจะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 9 ค่ำ ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ (2) ของทุกปี (กำหนดตามจันทรคติ)

วัดพระธาตุเชิงชุม
สิ่งก่อสร้างภายในวัด
พระธาตุเชิงชุม
ตั้งหันหน้าไปทางหนองหานที่อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยม สูง 24 เมตรเศษ ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบน เป็นทรงบัวเหลี่ยม ไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์ มีซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท ข้างในทึบสร้างด้วย ศิลาแลงและหินทรายแดง มีซุ้มประตูหลอกแบบขอม ด้านทิศ เหนือ ใต้ และตะวันตก ซุ้มประตูทางเข้าจริงด้านทิศตะวันออกแต่แรกเริ่ม พระธาตุเชิงชุมคงเป็นปราสาทหินทรายศิลปะสมัยขอม ภายในกรอบประตูทางเข้าอุโมงค์ด้านขวามือ มีจารึกพระธาตุเชิงชุมอักษรขอม โบราณ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ องค์พระธาตุในปัจจุบันเป็นศิลปะล้านช้างเนื่องจากช่วงที่อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้างแผ่เข้ามา บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และได้มีการบูรณะองค์พระธาตุขึ้นมาใหม่

วิหาร
ภายในพระวิหารประดิษฐาน หลวงพ่อพระองค์แสน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปเชียงแสน  เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของชาว สกลนคร

อุโบสถ
พ.ศ. 2370 สร้างพระอุโบสถหลังเดิมหรือสิมเก่า มีลักษณะเป็นสิมแบบโถง โครงสร้างเป็นไม้ก่ออิฐถือปูน หลังคาเป็นกระเบื้องไม้แบบ เดิม หันหน้าไปทางทิศใต้ ครั้งพระธานีเป็นเจ้าเมือง ภายในมีจิตรกรรมเป็นภาพเถาไม้เลื้อยเป็นแนวรอบอาคาร หน้าบันมีจิตรกรรมฝา ผนังเป็นรูปเทพบุตรและเทพธิดา ดาวประจำยาม มังกรและเถาไม้เลื้อย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์ ทั้งที่สร้างด้วยไม้และ เป็นปูนปั้น

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
เป็นบ่อน้ำที่มีมาพร้อมองค์พระธาตุเชิงชุม เดิมมีน้ำพุผุดขึ้นมาเนื่องจากเป็นปลายทางของลำน้ำใต้ดินซึ่งไหลมาจากเทือกเขาภูพาน ผ่านศูนย์ราชการด้านทิศเหนือ ผ่านใจกลางเมืองข้างวัดเหนือ แล้วไหลมาผุดที่นี่ เรียกว่า "ภูน้ำซอด" หรือ "ภูน้ำลอด" แล้วไหลผ่านไป ที่สระพังทอง ในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ติดกับวัด เมื่อน้ำน้อยลงเรื่อยๆจึงได้มีการทำผนังกั้นไม่ให้ดินพังลงไป ในอดีตจะมี การนำน้ำจากบ่อน้ำที่นี่ไปประกอบพิธีเมื่อมีพิธีกรรมอันสำคัญต่างๆอีกด้วย

หอกลอง
หอกลองหรือหอระฆัง เป็นหอกลองสูงทั้งหมดสามชั้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2503 โดยชาวเวียดนามที่ได้มาพำนักอาศัย ณ จังหวัดสกลนคร ร่วมใจกันสร้างขึ้นถวายองค์พระธาตุเชิงชุมเพื่อเป็นพุทธบูชาเพื่อใช้บอกเวลายามต่างๆ

การเดินทาง

จากจังหวัดสกลนครให้ขับเข้าไปในเขตเทศบาลเมืองสกลนครไปตามถนนเจริญเมือง จนสุดถนนวัดพระธาตุเชิงชุมติดกับหนองหาร หลวง

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Thursday, April 11, 2019

เที่ยวหนองคาย สะพานมิตรภาพไทยลาว หนองคาย

สะพานมิตรภาพไทยลาว หนองคาย


สะพานมิตรภาพไทยลาว เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงจากอำเภอเมืองหนองคายไปเมืองท่าเดื่อ ของสปป.ลาว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง เวียงจันทน์ ประมาณ 20 กิโลเมตร สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของ 3 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ลาว และไทย นับว่าเป็นสะพานที่สร้าง ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สะพานเปิดเวลา 05.00-20.00 น.
นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ต้องการเดินทางจากหนองคายไปเวียงจันทน์จำเป็นต้องใช้สะพานแห่งนี้ ตัวสะพานมีความยาว  1,174 เมตร กว้าง 12.7 เมตร มีช่องสำหรับเดินรถ 2 ช่องทาง ซึ่งตรงช่วงกลางสะพานออกแบบไว้สำหรับสร้างทางรถไฟ เชิงสะพานมีด่านตรวจ คนเข้าเมืองและศูนย์ให้บริการข่าวสารท่องเที่ยวของ ททท. ตั้งอยู่


ประวัติสะพานมิตรภาพไทยลาว

สะพานนี้ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 3 ปี จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2537 ด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศไทย ลาว ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดสะพานแห่งนี้ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม าชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2537 หลังเสร็จพระราชพิธี พระองค์เสด็จฯ ไปประทับแรม ณ หอคำ พระบรมมหาราชวังของเจ้ามหาชีวิตหรือกษัตริย์ลาวในอดีตเป็นเวลา 1 คืน ก่อนเสด็จพระราชดำเนิน กลับสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

ชาวอีสานและชาวลาวเรียกว่า“ขัวมิดตะพาบ”(ขัวหมายถึงสะพาน) สะพานแห่งนี้กว้าง 15 ม. ยาวประมาณ 1,200 ม. สร้างเชื่อม ระหว่าง บ้านจอมมณี ต. มีชัย อ. เมืองหนองคาย ไปยังบริเวณท่านาแล้ง แขวงนครเวียงจันทน์ มีทางเดินรถสองช่องทาง ช่วงกลางสะพานออกแบบไว้สำหรับรางรถไฟ เพื่อเตรียมขยายเส้นทางรถไฟจากหนองคายไปลาวนักท่องเที่ยว สามารถเดิน เที่ยวชมบนสะพานได้ โดยมีช่อง ทางขึ้นอยู่ใต้สะพาน ในช่วงเย็นทัศนียภาพแม่น้ำโขงจะสวยงามน่าชมมาก

การเดินทางข้ามไปยังฝั่งลาว

นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมความสวยงามสะพานมิตรภาพไทย ลาว ได้ถึงกลางสะพาน แต่ถ้าหากต้องการข้ามแดนไป เที่ยว ยังฝั่งลาว สามารถเดินทางด้วยตัวเอง  /  ติดต่อบริษัทนำเที่ยวที่ถูกต้องตามกฎหมาย ด่าน  เปิด  06.00  -  22.00  น.  ( ทุกวัน )

 เอกสารประกอบการเดินทาง
  ชาวไทย

ต้องทำบัตรผ่านแดนที่ศาลากลางจังหวัดหนองคายด้วยตัวเอง ค่าธรรมเนียมค นละ   40   บาท
  โทร. 042 - 411 – 778 หรือ ให้บริษัททัวร์ดำเนินการ  -  ค่าบริการ 100 บาท

 เอกสารประกอบการทำบัตรผ่านแดน  ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน , รูปถ่ายสี  ขนาด 1 นิ้ว  /   2  รูป ถ้านักท่องเที่ยว อายุต่ำกว่า   15   ปี  เตรียม สำเนาทะเบียนบ้าน, สำเนาสูติบัตรแทนสำเนาบัตรประชาชน   หลังจากนั้น นำบัตรผ่านแดนไปประทับตราที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ค่าธรรมเนียม ฝั่งไทย   10   บาท ฝั่งลาว  50  บาท  ( จันทร์ - ศุกร์  )     70  บาท  (  เสาร์ - อาทิตย์ )
อายุผ่านแดน   บัตร มีอายุ 3   วัน หากอยู่เกินต้องขอต่อที่กระทรวงภายใน สปป.ลาว   ใช้ได้เฉพาะการเดินทางไปเมืองชายแดนไทย – ลาว ไม่เกิน  25  กม.  หากเดินทางไปเมืองอื่นต้องใช้หนังสือเดินทางพร้อมวีซ่า

ชาวต่างประเทศ

เอกสาร  ได้แก่ หนังสือเดินทาง ( Passport )   วีซ่า
การยื่นขอวีซ่า สถานฑูตลาวประจำประเทศไทย  520/1-3  ซ. รามคำแหง  39    แขวงวังทองหลาง เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ   โทร. 02 - 539 – 6667 หรือ สถานกงสุลลาว  18 / 1-3  ถ. โพธิสถิตย์  บ้านโนนทัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ. ขอนแก่น
โทร. 043 - 221 - 861  / 043 - 223 – 688
ต้องดำเนินการล่วงหน้าก่อนเข้าประเทศอย่างน้อย  3  วันทำการหรือ ติดต่อบริษัทนำเที่ยวดำเนินการได้อายุผ่านแดน  30  วัน  สามารถขอ  VISA ON ARRIVAL ได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของ สปป.ลาว อยู่ในลาวได้  15  วัน

การนำรถยนต์ออก - เข้าประเทศ
- ต้องทำเอกสารนำรถออกและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดติดต่อบริษัททัวร์ในหนองคาย ดำเนินการให้
สอบถามรายละเอียดไ ด้ที่ด่านศุลกากรจังหวัด โทร. 042 - 411 - 518, 042 - 421 - 468 – 9 โทรสาร 0 4241 2654

รถยนต์โดยสารประจำทาง
ประเทศไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ( สปป.ลาว )
- บริษัท ขนส่ง จำกัด
- หนองคาย - เวียงจันทน์
- ค่าโดยสารเที่ยวละ 55 บาท / คน
- สัมภาระไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม
- โทร. 042 - 247 - 950 - 2

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Wednesday, April 10, 2019

เที่ยว บ่อน้ำพุร้อนแม่ภาษา จังหวัดตาก

น้ำพุร้อนแม่ภาษา ตาก


น้ำพุร้อนแม่ภาษา  ตั้งอยู่ใน ตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด  จังหวัดตาก การเดินทางไปน้ำพุร้อนสะดวกสบาย ใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณยี่สิบกว่านาที จากเมืองแม่สอด  น้ำพุร้อนแม่กาษา บริเวณโดยรอบบ่อน้ำพุร้อนมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ มีการปรับปรุงตกแต่งสนามหญ้าและสวนหย่อม มีน้ำพุร้อนให้สำหรับต้มไข่ มีบ่อน้ำแร่ให้แช่เท้า และมีห้องอาบน้ำแร่ น้ำพุร้อนแม่ภาษา  เป็นน้ำพุขนาดเล็กที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและไร่นาของชาวบ้าน ผุดขึ้นมาจากดิน มีความร้อนประมาณ 70-80 องศาเซลเซียส ธารน้ำร้อนที่พุ่งออกมาผสมกับน้ำจากผิวดินที่เป็นน้ำเย็น เกิดเป็นธารน้ำอุ่น มีกลิ่นกำมะถันอ่อนๆ และไอน้ำลอยกรุ่นขึ้นมา ตาน้ำร้อนมี 2 แห่ง ถ้าเป็นแห่งเล็กชาวบ้านนำหินไปวางล้อมไว้ ที่ปากบ่อจะมีน้ำเดือดผุดขึ้นมา สามารถต้มไข่ได้ ส่วนตาน้ำอีกแห่งมีขอบบ่อกั้นไว้ สามารถต้มไข่โดยแช่ทิ้งไว้ประมาณ  10 นาที  น้ำพุร้อนแม่ภาษา  เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมามากมายมานั่งแช่เท้า โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์ อาทิตย์  ปัจจุบันมีห้องบริการอาบน้ำแร่และบ่ออาบน้ำ ซึ่งไม่มีกลิ่นฉุนจากก๊าซกำมะถัน สามารถแช่น้ำร้อนในห้องอาบน้ำ ถ้าไปเป็นหมู่คณะ ห้องละ 300 บาท หรือแช่เท้าน้ำอุ่นที่ไหลผ่านธารน้ำซึ่งแช่ฟรี



ตรงกันข้ามกับน้ำพุร้อนมีศาลเจ้าแม่อุษาที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำและภูเขาหินปูนมีสะพานแขวนเชื่อมต่อไปยังศาลสามารถเข้าไปกราบไหว้ขอพร ซึ่งว่ากันว่าศาลเจ้าแม่อุษานั้น ศักดิ์สิทธิ์มาก  เจ้าแม่อุษาเป็นมเหสีของเจ้าพ่อพะวอ ซึ่งในอดีตเป็นขุนศึกที่นำทัพหนีพม่าเข้ามาทางจังหวัดตาก ตอนนั้นเจ้าแม่อุษากำลังตั้งครรภ์ จึงพาไพร่พลหนีเข้าไปในถ้ำ และให้กำเนิดบุตรที่ถ้ำแห่งนี้ หลังจากนั้นเจ้าแม่อุษาก็อาศัยอยู่ที่ถ้ำนี้ตลอดจนสิ้นอายุขัย ชาวบ้านแถวนี้จึงตั้งศาลให้ชื่อว่าศาลเจ้าแม่อุษา ส่วนขุนพะวอได้กลายเป็นเจ้าพ่อพะวอ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวอำเภอแม่สอด

การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สอด-แม่ระมาด) แยกขวาตรงหลักกิโลเมตรที่ 13 ผ่านหมู่บ้านแม่กาษาถึงน้ำพุร้อนแม่กาษา

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

น้ำตกทีลอซู น้ำตกที่สวยที่สุดในจังหวัดตาก

น้ำตกทีลอซู จังหวัดตาก


น้ำตกทีลอซู ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจาก ระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วย ป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชียตามความจริงต้องออกเสียงว่า "ทีลอชู" และ เป็นคำนามในภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "น้ำตก" ชื่อ "ทีลอซู" เป็นความพยายามแปลความหมายทีละคำ โดย "ที" หรือ "ทิ" แปลว่า "น้ำ" "ลอ" หรือ "ล่อ" แปลว่า "ตก" แต่ "ชู" ไม่มีความหมายใกล้เคียง ดังนั้นจึงมีความพยายาม ทำให้เป็นคำที่มีความหมาย เนื่องจาก "ซู" แปลว่า "ดำ" จึงนำไปสู่การเรียกว่า "ทีลอซู" และแปลว่า "น้ำตกดำ"



การเดินทางท่องเที่ยวน้ำตกทีลอซูหลังจากมาถึงจุดกางเต้นท์แล้ว จะมีเส้นทางเดินไปยังน้ำตก ระยะทาง 1.5 กม. เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติผ่านป่าไผ่และป่าเบญจพรรณ  ระหว่างทางมีป้ายสื่อความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติและ พืชพันธุ์ตามจุดต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา เมื่อถึงบริเวณน้ำตก จะเห็นละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วโขดหินเบื้อง ล่าง มองเห็นธารน้ำตกลงมาจากผาหินปูนซึ่งอยู่สูงประมาณ300ม. ตามแนวกว้างกว่า500 ม. ท่ามกลางป่าครึ้มอาจ แบ่งธารน้ำตกได้เป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มด้านซ้ายมือ (เมื่อหันหน้าเข้าหาน้ำตก) เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดสูงที่สุด และเป็น ด้านที่สวยที่สุด มีธารน้ำตกหลายสายไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้นเชิง ส่วนกลุ่มตรงกลาง สายน้ำไหลลงมาจาก หน้าผาสูงชันใกล้เคียงกบกลุ่มซ้ายมือแต่ไม่เป็นชั้นและแคบกว่า ส่วนกลุ่มทางขวามือ มีสายน้ำตกมากและ หน้าผาเตี้ยกว่าสองกลุ่มแรก เมื่อมองทั้งสามกลุ่มรวมกันจะเห็น น้ำตกทีลอซู ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามบริเวณ ด้านล่าง มีทางเดินไปยังจุดชมวิวทิวทัศน์บนยอดเขาฝั่งตรงกันข้าม เป็นจุดที่มองเห็น น้ำตกทีลอซู ได้สวยงาม และชัดเจนขึ้น ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 1 ชม
ทีลอซู ได้รับคำกล่าวขานถึงว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สวยงามที่สุดในประเทศไทย ได้กำหนดให้น้ำตกทีลอซู เป็นหนึ่งในเก้าตะวัน ตามโครงการมหัศจรรย์เมืองไทย 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน โดยมีจุดเด่นคือ "มหัศจรรย์รุ้งกินน้ำที่น้ำตกทีลอซู
ปลายทางของน้ำตกทีลอซูสายเล็กๆระหว่างเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ
ท่องเที่ยวน้ำตกทีลอซู
1.ช่วงฤดูฝน ตั้งแต่ มิ.ย. – ก่อนถึงวันที่ 1 พ.ย.นักท่องเที่ยวจะต้องล่องเรือยางจากตัวเมืองอุ้มผางตามลำน้ำกลองซึ่งจะได้ชมวิวทิวทัศน์อละความสมบูรณ์ของ ผืนป่าตลอดเส้นทาง  ผ่านบ่อน้ำร้อน  น้ำตกทีลอจ่อที่ตกลงมาจากหน้าผาสูงและผ่านน้ำตกสายรุ้ง ซึ่งหากเดิน ทางไปในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะเห็นรุ้งกินน้ำที่เกิดจากแสงที่ตกกระทบกับละลองน้ำของสายน้ำตก ผาผึ้ง ผาเลือด ผาบ่อง ผาโหว่ ก่อนจะแวะพักทานอาหารกลางวันกันริมน้ำใกล้ผาเลือด การล่องเรือจะใช้เวลา ประมาณ  3 ชั่วโมง  มาจนถึงจุดเดินเท้าระยะทาง  9  กิโลเมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องเดินเข้าไปยังจุดกางเต้นท์ ของที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง  เพราะยังไม่อนุญาติให้รถเข้า  เส้นทางการเดินก็มีทั้งลาดชันขึ้นเขา ลงเขาและทางราบเรียบสลับกันไป  เมื่อถึงที่ทำการพักผ่อน จากนั้นเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกอีกประมาณ 1.5  ก.ม. ก็จะถึงน้ำตกทีลอซู  ในช่วงเวลานี้น้ำตกทีลอซจะมีปริมาณมาก ผืนป่าเขียวขจีและสีน้ำตกจะขุ่นเล็กน้อย รูปแบบนี้จะเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการผจญภัยและเดินป่า


อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

หากมาเที่ยวในช่วงนี้ต้องเตรียมพร้อมร่างกายให้ดี  เตรียมเสื้อกันฝน ถุงพลาสติก ลูกอม ยาดม หมวกให้พร้อม  โดยเฉพาะรองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย ในช่วงล่องเรือไม่ควรใส่รองเท้าผ้าใบอาจ เปียกน้ำและ ทำให้เดินไม่สบายเท้า  แต่เมื่อมาถึงช่วงเดินทางการใส่รองเท้าผ้าใบจะสบายเท้าที่สุด หรือหากใช้รองเท้าแบบ สายรัด หรือแบบอื่น ก็ย่อมได้ แต่สำคัญที่สุดควรเตรียมถุงเท้าไปใส่ด้วยหลังจากล่องเรือเรียบรอยแล้ว เพราะ ระยะทางการเดินไกล ไม่ว่าจะใส่รองเท้าแบบไหน สบายแค่ไหน โดนกัดทุกราย การใส่ถุงเท้าจะช่วยป้องการได้ และควรเตรียมพลาสเตอร์ปิดแผลป้องกันไว้ด้วย
2. ช่วง 1 พ.ย. - เม.ย. ฤดูการท่องเที่ยว 
อนุญาติให้นำรถเข้าไปได้  สามารถเดินทางโดยรถขับเคลื่อนสี่ล้อจากที่พักจน ถึงจุดกางเต้นท์ ที่ทำการเขตรักษา พันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง โดยไม่ต้องเดินให้เหนื่อย หรืออาจจล่องเรือยางตามลำน้ำแม่กลองชมความสวยงามของ ธรรมชาติมาจนถึงจุดต่อรถก็ได้ซึ่งแนะนำว่า ควรล่องเรือยางด้วยเพราะจะทำให้เห็นวิวสองข้างทาง ได้เห็นวิว ทิวทัศน์ระหว่าทางได้เห็นน้ำตกสายเล็กสายน้อย รวมทั้งน้ำตกทีลอจ่อด้วยซึ่งถือเป็นการท่องเที่ยวทีลอซูแบบ ดั้งเดิมที่ได้อรรถรสที่สุด และจากนั้นเมื่อถึงจุดกางเต้นท์แล้วก็เดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกอีกประมาณ 1.5  ก.ม. ก็จะถึงน้ำตกทีลอซู เช่นกัน ในช่วงเวลานี้น้ำตกทีลอซู จะใส โดยเฉพาะช่วงกลางเดือนพ.ย.- ธ.ค. ปริมาณพอเหมาะและสีของน้ำตกจะสวยที่สุด 
โปรแกรมท่องเที่ยวทีลอซู
โดยมากจะใช้บริการรีสอร์ทหรือบริษัททัวร์ ที่อยู่ในอๆเภออุ้มผางซึ่งมีให้บริการมากมาย มีให้เลือกหลายรูปแบบ ตั้งแต่เริ่มเดินทาง จากกรุงเทพ แม่สอด และอุ้มผาง โดยโปรแกรม ส่วนใหญ่จะคล้ายกัน คือ ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน คืนแรกกางเต้นท์บริเวณจุดกางเต้นท์และเที่ยวน้ำตกทีลอซู หลังจากนั้นเดินทางกลับสู่ที่พักนอนรีสอร์ท 1 คืน เช้าวันต่อมาก็ตื่นแต่เช้าและพาไปดูทะเลหมอกยังดอยหัวหมด หลังจากนั้นก็เดินทางออกจากที่พักซึ่งนักท่องเที่ยว จะแวะไปเที่ยวที่ไหนต่อก็แล้วแต่จะจัดโปรแกรม หากใช้ บริการของบริษัททัวร์ที่เริ่มจากกรุงเทพก็อาจจ มีแวะ ไปเที่ยว ในแม่สอด น้ำตาพาเจริญ ดอยมูเซอ และตลาดริมเมย เป็นต้น
รายชื่อรีสอร์ทที่รับจัดทัวร์ท่องเที่ยวน้ำตกทีลอซูในอ้ำเภออุ้มผาง
บุญล่ำทัวร์ 438 หมู่ 1 ต.อุ้มผาง โทร  055 – 561021 , 081 – 887 0653 โทรสาร 055 – 561322 http://www.boonlumtour.com
เสียงซึง รีสอร์ท  สำนักงานกรุงเทพ โทร 02 917 0562,02 917 0966 ,081 267 8361  สำนักงานอุ้มผาง โทร  055 561 031 , 089 128 39824 เว็บไซต์  http://www.siangzueng.com
ตูกะสูคอทเทจ  40 หมู่ 6 ต.อุ้มผาง โทร  055-561295, 081-825  8238, 081-819 0304 http://tukasu.webs.com
อุ้มผางคันทรี่ฮัท 141 หมู่ 1 ต.อุ้มผาง โทร 084 1399927  ,  084 7067311 ,  081 9157746 http://www.umphangcountryhut.com
บ้านสวนบุญญาภรณ์ 106 หมู่ 3 ถ.อุ้มผาง โทร 0 5556 1093 http://www.boonyapornresort.com
 อุ้มผางฮิลล์ รีสอร์ท 99 หมู่ 3 ต. อุ้มผาง โทร. 055-542 942,055-543 142 http://www.umphanghill.com/page2.html
เดอะอุ้มผาง ริเวอร์ไซด์ อ. อุ้มผาง จ. ตาก 63170 โทร. 086-9342871 http://www.umphangriverside.com
 กิ๊ฟท์เฮ้าส์ 503 หมู่ 1 ต.อุ้มผาง  โทร 084-943-3577 , 086-661-7551  http://www.gifthouseresort.com/
ทีลอซู ริเวอร์ไซด์ โทร 081 862 0533, 081 278  9292 http://www.theelorsuriverside.com
 ภูดอยแค้มป์ไซด์ โทร. 055 561 049, 055 561 580   http://www.phudoi.com
สวนเรือนแก้ว โทร  085 248 1954,084 655 8327http://www.ruankaewgarden.net
อุ้มผางสมายล์เกสท์เฮาส์ 82 ม.6 ต.อุ้มผาง อ.อุ้มผาง จ.ตาก 63170
โทร  055 561 430 , 085-270-8249 ,08-944-2364 http://www.umphangsmilehouse.com
อุ้มผางบุรี โทร 90 หมู่ที่ 6 ถ.อุ้มผาง-ปะละทะ ต.อุ้งผาง จ. ตาก
055 561 576, 089 8717116 ,089 724 4308  http://www.umphangburiresort.com
อังเกิลทินส์ เคบิล 389 ม. 1 โทร 055 809 117
 http://teelorsu.hi5.com/friend/p379770961--Teelorsu_Waterfall--html

อุ้มผางเกสต์เฮ้าต์ 438 หมู่ 1 โทร. 055 561 021
อุ้มผางเฮ้าส์ 443 หมู่ 1 ต.อุ้มผาง โทร. 055 561073
อุ้มผางคี รีสอร์ท 3 ม.1  โทร 055 561 429 ,089 676 3721

การเดินทางไปน้ำตกทีลอซู

1.โดยรถยนต์
จากกรุงเทพฯใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน)เดินทางสู่ จ.ตาก โดยก่อนถึงตัวเมืองตาก 7 กม.ให้เลี้ยว ซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 5(ตาก-แม่สอด) สู่ อ.แม่สอด ในระยะทาง 86 กม. แล้วก็จะเจอทางหลวงหมายเลข 1090 สุดทางสาย 1090 ที่อุ้มผาง เส้นทางจากแม่สอดไปอุ้มผาง เป็นเส้นทางลอยฟ้า ระยะทาง 169 กม. มีโค้ง 1219 โค้ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง ในการผ่านพ้นจากเส้นทางนี้ เส้นทางแคบและคดเคี้ยวไปตามไหล่ เขา คนขับควรมีฝีมือในการขับรถที่ชำนาญพอสมควรสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องเมารถควรเตรียม ยาแก้เมารถ ไว้ด้วย
2.โดยรถประจำทาง
นั่งรถจากสถานีขนส่งหมอชิตใหม่ สายกรุงเทพ- แม่สอด ไปต่อรถเพื่อไปยังอำเภออุ้มผาง โดยรถสองแถวจาก อ.แม่สอด ไปยังอุ้มผาง เที่ยวแรก 07.00น. ออกชม.ละคัน เที่ยวสุดท้ายเวลา 15.00 น. ค่าโดยสารคนละ 120 บาท

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com


Tuesday, April 9, 2019

เที่ยวหนองปลาบึก จุดชมวิวและพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม จังหวัดหนองคาย

หนองปลาบึก จังหวัดหนองคาย




หนองปลาบึก ตั้งอยู่ที่บ้านหนอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เป็นจุดชมวิวและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามของ อำเภอสังคมอยู่ ติดแม่น้ำโขง มีโขดหินขึ้นสวยงามเวลาน้ำโขงแห้งลง และเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคอีกแห่ง ของอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย

การเดินทางไปชมพระอาทิตย์ตกและแก่งหินสามารถใช้บริการเรือของชาวบ้าน  เที่ยวละ 300 บาท เรือนั่งได้ 5 คน  สอบถามที่ ครัวไม้น้ำ โทร  085 001 7411

การเดินทางไปหนองปลาบึก
โดยรถส่วนตัว
อำเภอสังคม ห่างจากจังหวัดหนองคาย ประมาณ 95 กิโลเมตร  การเดินทางช้ทางหลวงหมายเลข 211  หนองคาย – เลย จากตัวเมืองหนองคาย  วิ่งผ่านอำเภอท่าบ่อ ผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่ เข้าสู่อำเภอสังคม จากอำเภอสังคมไปอีก 23 ก.ม. จะเจอหนองปลาบึกสังเกตมีป้ายอยู่ด้านหน้า

การเดินทางไปอำเภอสังคมโดยรถทัวร์
ใช้บริการของ บริษัทบุษราคัมทัวร์
กทม 02-936-0483 ,029360772 , 02-9364247
http://www.rottourthai.com/showthread.php?t=300
สาย 933 กรุงเทพฯ-อุดรธานี-ศรีเชียงใหม่  เที่ยวแรก เวลา 18.30 น. ส่ง อุดร,หนองคาย,ท่าบ่อ,ศรีเชียงใหม่,ปลายทาง อ.สังคม 

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Sunday, April 7, 2019

เที่ยวภูโลน จังหวัดหนองคาย

เที่ยวภูโลน หนองคาย

ภูโลน ตั้งอยู่ที่บ้านหนอง ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคาย เป็นจุดชมวิวและพระอาทิตย์ตกที่สวยงามของ อำเภอสังคม สามารถมองเห็นวิวลำน้ำโขงและเกาะแก่งที่อยู่ด้านล่างได้ชัดเจน
ภูห้วยอีสัน  หนองคาย




การเดินทางไปภูโลน

โดยรถส่วนตัว
อำเภอสังคม ห่างจากจังหวัดหนองคาย ประมาณ 95 กิโลเมตร  การเดินทางช้ทางหลวงหมายเลข 211  หนองคาย – เลย จากตัวเมืองหนองคาย  วิ่งผ่านอำเภอท่าบ่อ ผ่านอำเภอศรีเชียงใหม่ เข้าสู่อำเภอสังคม จากอำเภอสังคมไปอีก 22 ก.ม. จะมีทาง-ขึ้นไปยังภูโลน ต้องใช้รถกระบะขึ้นไปรถเก๋งไม่สามารถขึ้นไปได้ หรืออาจจอดไว้ด้านล่างแล้วใช้บริการรถอีแต๋น ของชาวบ้าน คิดค่าบริการเพียงคันละ 100 บาท รถนั่งได้ 5 คน สามารถไปสอบถามยังหมู่บ้านได้เลย ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ครัวไม้น้ำ
โทร 085 001 7411

การเดินทางไปอำเภอสังคมโดยรถทัวร์
ใช้บริการของ บริษัทบุษราคัมทัวร์
กทม 02-936-0483 ,029360772 , 02-9364247
http://www.rottourthai.com/showthread.php?t=300
สาย 933 กรุงเทพฯ-อุดรธานี-ศรีเชียงใหม่  เที่ยวแรก เวลา 18.30 น. ส่ง อุดร,หนองคาย,ท่าบ่อ,ศรีเชียงใหม่,ปลายทาง อ.สังคม 

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

Friday, April 5, 2019

เที่ยวหนองคาย ล่องเรือชมลำโขง

ล่องเรือชมลำโขง



ล่องเรือชมลำน้ำโขง คือ กิจกรรมอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมเมื่อมาเที่ยว ตำบลบ้านม่วง อำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย โดยจุดเริ่มต้นในการล่องเรือจะเริ่มที่ครัวไม้น้ำ โดยล่องไปตามลำน้ำโขงชมทิวทัศน์ระหว่างทางไปเรื่อยๆ จนถึงเกาะกลางน้ำ จะให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์บนหาดทรายซึ่งมีโขดหินที่สวยงาม แปลกตา เป็นมหัศจรรย์ธรรมชาติสร้างสรรค์อีกจุดหนึ่ง ที่เมือมาเที่ยวอ.สังคมแล้วไม่ควรพลาด เวลาที่แนะนำ คือช่วงเวลาเช้าประมาณ 9 โมง หลังจากที่ลงมาจากจุดชมวิว ภูห้วยอีสัน เนื่องจากไม่ร้อนมาก บางครั้งหากโชคดีมาในหน้าจะได้เห็นไอหมอกลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ หรืออีกช่วงเวลาหนึ่ง คือ ช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่แดดไม่แรงมาก

นักท่องเที่ยวที่ต้องการล่องเรือชมลำน้ำโขง และเกาะกลางน้ำ คิดค่าบริการลำละ 300 บาท เรือนั่งได้ 5 - 6 คน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ติดต่อได้ที่ครัวไม้น้ำ โทร  085 001 7411

ขอบคุณแหล่งที่มา www.paiduaykan.com

เที่ยววัดสายบุญวัดผาตากเสื้อ เกล็ดพญานาคริมโขง จังหวัดหนองคาย

วัดผาตากเสื้อ เกล็ดพญานาคริมโขง




วัดผาตากเสื้อ ที่ตั้งอยู่บนเขาในเขตอำเภอสังคม จังหวัดหนองคาย เดิมชื่อวัดถ้ำพระ หลวงปู่เพชร ปะทีโป ท่านได้เดินทางมาปฏิบัติธรรม บริเวณถ้ำพระและได้ก่อตั้งวัดผาตากเสื้อขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2477 มีเนื้อที่ 29 ไร่ 2 งาน 78 ตารางวา วัดผาตากเสื้อเป็นวัดปฏิบัติธรรม ต่อมาได้อัญเชิญพระสารีริกธาตุมาประดิษฐานเมื่อ 2 เมษายน 2550 เป็นที่สักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป เป็นวัดที่มีทิวทัศน์สวยงาม มาก สูงจากระดับน้ำทะเล 550 เมตร ภายในวัดมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ในช่วงที่น้ำลดหากไปยืน อยู่บนวัดผาตากเสื้อแล้วมองลงมายังแม่น้ำโขง จะเห็นสันทรายเป็นริ้วคล้ายเกล็ดพญานาคอย่างชัดเจน โดยได้รับการตั้งให้เป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเส้นทางในฝัน Dream Destination 2  จาก ท ท ท นั่นก็คือ "เกล็ดพญานาคริมโขง"  ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ได้อย่างน่าพิศวง  จากจุดชมวิววัดผาตากเสื้อหากมองไปทางซ้ายมือจะมองเห็นวิวแม่น้ำโขงวาดยาวโค้งเป็นคุ้งน้ำ กลางแม่น้ำมีเกาะ ขนาดใหญ่ ทำให้แม่น้ำโขงช่วงนี้มีลักษณะคล้ายแยกเป็นรูป Y ที่มองเห็นประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน นอกจากจุดชมวิวตรงวัดแล้ว ปัจจุบันก่อนถึงวัดผาตากเสื้อได้มีการทำจุดชมวิวซึ่งทำให้มองเห็นริ้วรายเกล็ดพญานาคได้ชัดเจนแบบไม่มีอะไรมาบังต
ภูห้วยอีสัน  หนองคาย

การเดินทาง 

จากจังหวัดหนองคายมุ่งหน้าสู่ถนนหลวงหายเลข 211 เรียบแม่น้ำโขง ระยะทางประมาณ 96 กิโลเมตร ถึงบ้านดงต้อง ตำบลผาตั้ง อำเภอสังคม จะมีป้ายทางซ้ายมือบอกเส้นทางไปวัดถ้ำเพียงดินอีก 14 กิโลเมตร และวัดผาตากเสื้อ 7 กิโลเมตร โดยรถประจำทาง บขส. สายหนองคาย-เลย ผ่านอำเภอสังคม ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง วันละหลายเที่ยวตั้งแต่เวลา 06.00-16.00 น. ออกทุก 30 นาที และต่อสองแถวซึ่งออกวันละ 1 เที่ยวเท่านั้น เพื่อเข้าไปชมวัดถ้ำเพียงดิน และวัดผาตากเสื้อ

ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.paiduaykan.com